1. ลักษณะของจำนวนจริง
ในการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นแขนงใด จะมีสิ่ง ๆ หนึ่งเข้ามา
เกี่ยวข้องด้วยเสมอ สิ่งนั้นก็คือ จำนวน ดังนั้นสิ่งที่เราควรเข้าใจ และทำการศึกษาก่อนก็คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับจำนวนซึ่งอยู่ในรูปลักษณะต่าง ๆ กัน ดังนั้นจึงมีการนำจำนวนต่าง ๆ เหล่านี้มาจัดเป็นกลุ่ม เป็นพวก ซึ่งเราเรียกว่าเซต และจำนวนใดจะอยู่ในเซตเดียวกัน หรือคนละเซตกันก็ขึ้นอยู่กับลักษณะหรือคุณสมบัติที่เหมือน หรือแตกต่างกันของจำนวนเหล่านี้ ในทางคณิตศาสตร์เรามีเซตของจำนวนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเซตของจำนวนจริงดังนี้
จำนวนเต็ม
เซตของจำนวนเต็ม
เซตของจำนวนเต็ม คือ เซตที่เกิดจากการยูเนียนกันของเซต
ของจำนวนเต็มบวก เซตของจำนวนเต็มลบ และเซตของศูนย์นั่นคือ
I = { …, -4, -3, -2, -1, 0, 1, 2, 3, 4, … }
1. เซตของจำนวนเต็มบวก หรือเซตของจำนวนนับ
เราคงคุ้นเคยกับสัญลักษณ์ 1, 2, 3, … ซึ่งเราเรียกจำนวนนับ
หรือจำนวนธรรมชาติ ( natural number ) หรือจำนวนเต็มบวก ( positive integers ) จำนวนนี้เป็นจำนวนชุดแรกที่มนุษย์รู้จัก
เซตของจำนวนเต็มบวก หรือเซตของจำนวนนับ คือ เซตที่
ประกอบด้วยสมาชิก 1, 2, 3, 4, … และเรานิยมใช้สัญลักษณ์ N หรือ I+ แทนเซต -
ดังกล่าวนั่นคือ
N = I+ = { 1, 2, 3, 4, 5, … }
2. เซตของจำนวนเต็มลบ
เซตของจำนวนเต็มลบ คือเซตที่ประกอบด้วยสมาชิก
–1, -2, -3, … และเรานิยมใช้สัญลักษณ์ I - แทน เซตดังกล่าว นั่นคือ
I - = { -1, -2, -3, -4, -5, … }
3. เซตของศูนย์
เซตของศูนย์ คือ เซตที่มี 0 เป็นสมาชิกเพียงตัวเดียว ดังนั้น
เซตดังกล่าว คือ { 0 }
จากลักษณะของเซตทั้ง 3 ดังกล่าวจะพบว่าเซตของจำนวนเต็มบวก เซตของจำนวนเต็มลบ และเซตของศูนย์ จะไม่มีสมาชิกที่ซ้ำกันเลยกล่าวคือถ้านำเซตทั้ง 3 มา อินเตอร์เซกชันกัน จะได้เป็นเซตว่าง แต่ถ้านำเซตทั้ง 3 มายูเนียนกันก็จะเกิดเป็นเซตใหม่ขึ้นมานั่นก็คือเซตของจำนวนเต็มนั่นเอง
เศษส่วน
เซตของเศษส่วนที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม
เซตของเศษส่วนที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม คือเซตที่มีสมาชิกเป็น
เศษส่วนโดยมีเงื่อนไขว่า เศษต้องเป็นจำนวนเต็ม ส่วนต้องเป็นจำนวนเต็มที่ไม่เท่ากับศูนย์ และไม่สามารถตัดทอนให้เหลือส่วนเป็น 1 ได้ ( ไม่สามารถเขียนเป็นจำนวนเต็มได้ ) ซึ่งตัวอย่างของสมาชิกในเซตนี้
ในทำนองเดียวกัน เราจะพบว่าเซตของจำนวนเต็ม กับ เซตของเศษส่วนที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม จะไม่มีสมาชิกซ้ำกันเลย กล่าวคือ ถ้านำเซตทั้งสองมาอินเตอร์เซกชันกัน ก็จะได้เซตว่างแต่ถ้านำมายูเนียนกัน ก็จะได้เซตใหม่ขึ้นอีกเซตหนึ่งเราเรียกเซตนั้นว่า เซตของจำนวนตรรกยะ ( rational number ) และนิยมใช้ Q เป็นสัญลักษณ์แทนเซต
จำนวนตรรกยะ
เซตของจำนวนตรรกยะ
เซตของจำนวนตรรกยะ คือเซตที่เกิดจากการยูเนียนของเซตของ
จำนวนเต็มกับเซตของเศษส่วนที่ไม่ใช่จำนวนเต็ม นั่นคือ
Q = { I a e I, b e I และ b ¹ 0 }
สมาชิกของเซตของจำนวนตรรกยะนั้น ต้องเป็นเศษส่วน และส่วนต้องไม่เท่ากับศูนย์และข้อสำคัญที่สุดคือ ตัวเศษและส่วนนั้นต่างก็เป็นจำนวนเต็มทั้งสิ้น
ตัวอย่างที่ 1 1. เป็นจำนวนตรรกยะ เพราะว่า 4 e I, 5 e I และ 5 ¹ 0
1 ¹ 0 ( แสดงว่าจำนวนเต็มทุกจำนวนต้องเป็นจำนวนตรรกยะ
เพราะจำนวนเต็มทุกจำนวนจะต้องมีส่วนเป็น 1 เสมอ )
ตัวอย่างที่ 2 1. 2.5 เป็นจำนวนตรรกยะ เพราะว่า 2.5 =
2. 0.79 เป็นจำนวนตรรกยะ เพราะว่า 0.79 =
3. 0.121212 … เป็นจำนวนตรรกยะ เพราะว่า 0.121212 … = 0.1.2.
จากตัวอย่างที่ 2 จะพบว่า ทศนิยมรู้จบ และ ทศนิยมไม่รู้จบชนิดซ้ำ
กัน ต่างก็สามารถเขียนอยู่ในรูป โดยที่ a e I, b e I และ b ¹ 0 ได้ ดังนั้น
ทศนิยมรู้จบ และทศนิยมไม่รู้จบชนิดซ้ำกัน ต่างก็เป็นจำนวนตรรกยะ แต่จะมีทศนิยมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถเขียนเป็นเศษส่วนได้ ทศนิยมดังกล่าวนั้น คือ ทศนิยมไม่รู้ชนิดไม่ซ้ำกัน เช่น 1.41421 …, 1.73205 …, 3.14286… ซึ่งแต่ละจำนวนดังกล่าว เราไม่สามารถเขียนให้สิ้นสุดลงได้ เพราะถ้าเขียนสิ้นสุดลงเมื่อใด ค่าที่ได้จะเป็นทศนิยมรู้จบ ซึ่งจะเป็นจำนวนตรรกยะทันที ดังนั้น นักคณิตศาสตร์จึงคิดสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นมาแทนทศนิยมไม่รู้จบชนิดไม่ซ้ำกันเหล่านี้ เรียกจำนวนเหล่านี้ว่า จำนวนตรรกยะ
จำนวนอตรรกยะ
เซตของจำนวนอตรรกยะ
ในการศึกษาของปีทาโกรัสและคณะพบว่า “ ถ้าด้านประกอบมุม
ฉากของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากยาว 1 หน่วยแล้ว ไม่สามารถหาคำตอบที่เป็นจำนวน
ตรรกยะที่เป็นบวกของด้านตรงข้ามมุมฉากได้ นั่นคือ
X 2= 1 + 1
X2 = 2
เซตของจำนวนอตรรกยะ คือเซตที่มีสมาชิกเป็นทศนิยมไม่รู้จบ
ชนิดไม่ซ้ำกัน ซึ่งสมาชิกเหล่านี้ได้แก่ เป็นต้น
ในทำนองเดียวกันเราจะพบว่าเซตของจำนวนตรรกยะ กับเซตของจำนวนอตรรกยะ จะไม่มีสมาชิกซ้ำกันเลย กล่าวคือ ถ้านำเซตทั้งสองมา –
อินเตอร์เซกชันกันจะได้เป็นเซตว่าง แต่ถ้านำมายูเนียนกันจะได้เซตใหม่ขึ้นมาอีกเซตหนึ่ง เราเรียกเซตนั้นว่า เซตของจำนวนจริง และนิยมใช้ R เป็นสัญลักษณ์แทนเซตดังกล่าว
จำนวนจริง
เซตของจำนวนจริง
เซตของจำนวนจริง คือเซตที่เกิดจากการยูเนียนกันของเซตของ
จำนวนตรรกยะกับเซตของจำนวนอตรรกยะ
ข้อควรสนใจ 1. มีจำนวนอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่จำนวนจริง จำนวนเหล่านั้นได้แก่ …เป็นต้น ( รากที่สองของจำนวนลบ )
จำนวนเหล่านี้เราเรียกว่าจำนวนจินตภาพ ซึ่งเป็นจำนวนที่เราไม่
สามารถเปรียบเทียบความมากน้อยได้
2. ในเซตของจำนวนจริง เราจะไม่มีการเขียนเศษส่วนที่ตัวส่วนเป็น
ศูนย์โดยเด็ดขาด เพราะลักษณะดังกล่าวไม่มีความหมาย หรือ
2. การเท่ากันของจำนวนจริง
หลักการเท่ากันของจำนวนจริง เป็นการแสดงให้เห็นว่าลักษณะของ
จำนวนจริงที่จะเท่ากันได้นั้น มีลักษณะอย่างไร และเราเรียกลักษณะต่าง ๆ เหล่านั้นว่า คุณสมบัติ และคุณสมบัติเหล่านี้เป็นจริงเสมอ และนอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้อ้างอิงในการพิสูจน์เกี่ยวกับการเท่ากันของจำนวนอื่น ๆ ได้อีก
1. คุณสมบัติสะท้อน ( Reflexive Property )
ถ้า a เป็นจำนวนจริงใด ๆ แล้ว a = a
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า จำนวนจริงใดก็ตาม ต้องมีค่าเท่ากับจำนวนจริงนั้นเสมอ
2. คุณสมบัติการสมมาตร ( Symmetric Property )
ให้ a และ b เป็นจำนวนจริงใด ๆ
ถ้า a = b แล้ว b = a
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ถ้ามีจำนวนจริง 2 จำนวนเท่ากัน จจะเขียนจำนวนใดไว้ทางซ้ายมือของเครื่องหมายเท่ากับ หรือเขียนไว้ทางขวาของเครื่องหมายเท่ากับก็ได้ ความหมายยังคงเหมือนเดิม
ตัวอย่างที่ 3 1. X + 2 = 5 จะมีความหมายเหมือนกับ 5 = X + 2
2. X = 36 จะมีความหมายเหมือนกับ X = 36
3. คุณสมบัติการถ่ายทอด ( Transitive Property )
ให้ a, b และ c เป็นจำนวนจริงใด ๆ
ถ้า a = b และ b = c แล้ว a = c
คุณสมบัติข้อนี้ แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยง หรือความต่อเนื่องจากการเท่ากัน
ตัวอย่างที่ 4 ถ้าเรามี a = 2
และรู้ว่า 2 = b
จากคุณสมบัติการถ่ายทอด เราสามารถสรุปได้ว่า a = b
4. คุณสมบัติการบวกด้วยจำนวนเท่ากัน
ให้ a, b และ c เป็นจำนวนจริงใด ๆ
ถ้า a = b แล้ว a + c = b + c
คุณสมบัติข้อนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีจำนวนจริงใด ๆ สองจำนวนเท่ากันเราเพิ่มเข้าไปอีกจำนวนละเท่า ๆ กัน ผลที่ได้ยังคงเท่ากันเสมอ
ตัวอย่างที่ 5 ให้ x = 7 และ b, c เป็นจำนวนจริง
จะได้ x + b = 7 + b
x + c = 7 + c
5. คุณสมบัติการคูณด้วยจำนวนเท่ากัน
ให้ a, b และ c เป็นจำนวนจริงใด ๆ
ถ้า a = b แล้ว ac = bc
คุณสมบัติข้อนี้ก็เช่นเดียวกับคุณสมบัติข้อ 4 แต่เปลี่ยนจากการบวกเป็นการคูณ นั่นคือ ถ้ามีจำนวนจริงใด ๆ สองจำนวนเท่ากันเราคูณเข้าไปด้วยจำนวนที่เท่ากันผลที่ได้ยังคงเท่ากันเสมอ
3. คุณสมบัติของจำนวนจริงข้อ 1 - 11
ในระบบจำนวนจริง จะมีคุณสมบัติสำคัญอยู่ 15 ข้อ ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจและศึกษาเป็นอย่างดี คุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นจริงเสมอ ไม่ว่าจำนวนจริงนั้นจะมีลักษณะใดก็ตาม สำหรับในหัวข้อนี้จะกล่าถึงคุณสมบัติของจำนวนจริง 11 ข้อแรกเสียก่อน
ให้ R เป็นเซตของจำนวนจริง โดยที่มี a, b และ c เป็นสมาชิกในเซตนี้ ( แสดงว่า a, b และ c เป็นจำนวนจริง ) คุณสมบัติเหล่านี้จะเป็นจริงสำหรับระบบจำนวนจริงเสมอ
1. คุณสมบัติปิดของการบวก
ถ้า a e R และ b e R แล้ว a + b e R
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ถ้าเรานำสมาชิกที่อยู่ใน R มาบวกกันแล้วผลที่ได้จะยังคงเป็นสมาชิกที่อยู่ใน R เสมอ ( จำนวนจริงคูณกับจำนวนจริง ผลที่ได้ยังคงเป็นจำนวนจริงเสมอ )
2. คุณสมบัติปิดของการคูณ
ถ้า a e R และ b e R แล้ว ab e R
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ถ้าเรานำสมาชิกที่อยู่ใน R มาคูณกันแล้ว
ผลที่ได้จะยังคงเป็นสมาชิกที่อยู่ใน R เสมอ ( จำนวนจริงคูณกับจำนวนจริง ผลที่ไดัยังคงเป็นจำนวนจริงเสมอ )
3. คุณสมบัติการสลับที่ของการบวก
ถ้า a e R และ b e R แล้ว a + b = b + a
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ในการนำสมาชิก R มาบวกกันนั้น เราจะ
นำสมาชิกตัวใดเป็นตัวตั้ง หรือเป็นตัวบวกก็ได้ ผลที่ได้ย่อมเท่ากันเสมอ
4. คุณสมบัติการสลับที่ของการคูณ
ถ้า a e R และ b e R แล้ว ab = ba
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ในการนำสมาชิกใน R มาคูณกันนั้น เรา
นำสมาชิกตัวใดเป็นตัวตั้งหรือเป็นตัวคูณก็ได้ ผลที่ได้ย่อมเท่ากันเสมอ
5. คุณสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มของการบวก
ถ้า a, b และ c ต่างเป็นสมาชิกใน R แล้ว
( a + b ) + c = a ( b + c )
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า การที่มีจำนวนจริงหลาย ๆ จำนวนมาบวกกันนั้นเราจะนำจำนวนจริงข้อใดบวกกันก่อนก็ได้ แล้วจึงไปบวกกับจำนวนที่เหลือทีหลัง
ซึ่งผลที่ได้ย่อมเท่ากันเสมอ
6. คุณสมบัติการเปลี่ยนกลุ่มการคูณ
ถ้า a, b และ c ต่างเป็นสมาชิกใน R แล้ว (ab)c = a(bc)
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า การที่มีจำนวนจริงหลาย ๆ จำนวนคูณกัน
นั้นเราจะนำจำนวนจริงคู่ใดคูณกันก่อนก็ได้ แล้วจึงนำไปคูณกับจำนวนที่เหลือทีหลัง ซึ่งผลที่ได้ย่อมเท่ากันเสมอ
7. คุณสมบัติการมีเอกลักษณ์การบวก
ในเซตจำนวนจริง R จะมี 0 e R ซึ่ง
0 + a = a + 0 = a สำหรับทุก ๆ ค่าของ a ใน R เราเรียก 0 ว่า
เอกลักษณ์การบวก
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ในเซตของจำนวนจริงนี้จะมีจำนวนจริง
พิเศษอยู่ตัวหนึ่ง คือ 0 ซึ่ง 0 นั้นเมื่อนำไปบวกกับจำนวนจริงใด ผลที่ได้จะเป็นจำนวนจริงนั้นเสมอ และต้องมีคุณสมบัติการสลับที่ด้วย เราจึงตั้งชื่อ 0 ว่าเอกลักษณ์การบวก
8. คุณสมบัติการมีเอกลักษณ์การคูณ
ในเซตของจำนวนจริง R จะมี 1 e R ซึ่ง
1 x a= a x 1 = a สำหรับทุก ๆ ค่าของ a ใน R เราเรียก 1 ว่า
เอกลักษณ์การคูณ
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ในเซตของจำนวนจริงนั้น จะมีจำนวน
จริงพิเศษอยู่ตัวหนึ่ง คือ 1 ซึ่ง 1 นั้นเมื่อนำไปคูณกับจำนวนจริงใด ผลที่ได้จะเป็นจำนวนจริงตัวนั้นเสมอ และต้องมีคุณสมบัติการสลับที่ด้วย เราจึงตั้งชื่อ 1 ว่า เอกลักษณ์การคูณ
9. คุณสมบัติการมีอินเวอร์สการบวก
ถ้า a e R จะมี -a e R ซึ่ง
a + (-a) = (-a) + a = 0
เรียก -a ว่า อินเวอร์สการบวกของ a
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ถ้าเราหยิบสมาชิกใน R ขึ้นมา 1 ตัว
จะเป็นตัวใดก็ได้สมมติให้เป็น a ก็จะมี -a ใน R เหมือนกัน และสมาชิกทั้งสองจำนวนนี้ เมื่อนำมาบวกกัน ผลที่ได้จะเป็นเอกลักษณ์การบวก ( คือ 0 ) และการบวกกันนั้นต้องสลับที่ได้ด้วย
10. คุณสมบัติการมีอินเวอร์สการคูณ
ถ้า a e R และ a ¹ 0 จะมี a-1 e R ซึ่ง
aa-1 = a-1a = 1
เรียก a-1 ว่าอินเวอร์สการคูณของ a
คุณสมบัติข้อนี้กล่าวว่า ถ้าเราหยิบสมาชิกใน R ขึ้นมา 1 ตัว
ซึ่งไม่ใช่ 0 ก็จะมีสมาชิกใน R อยู่ 1 ตัวซึ่งเมื่อนำมาคูณกับสมาชิกใน R ที่หยิบขึ้นมา ผลที่ได้จะเป็นเอกลักษณ์การคูณ คือ 1 และการคูณกันนั้นสามารถสลับที่ได้ด้วย
11. คุณสมบัติการแจกแจง
ถ้า a, b และ c เป็นสมาชิกใน R แล้ว
a ( b + c ) = ab + ac
คุณสมบัติข้อนี้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าในการนำจำนวนสองจำนวน
สองจำนวนคือ a และ b + c มาคูณกันนั้น เราสามารถแยกให้อยู่ในรูปผลบวกของผลคูณ ab กับ ac ก็ได้
4. ทฤษฎีบทสำคัญในระบบจำนวนจริง
“ ทฤษฎีบท “ หมายถึง ข้อความที่เป็นจริง และสามารถพิสูจน์ได้โดยใช้คุณสมบัติต่าง ๆ มาอ้างอิง ดังนั้นทฤษฎีที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นจริงเสมอในระบบจำนวนจริง
ทฤษฎีบทที่ 1 ให้ a, b และ c เป็นจำนวนจริง
ถ้า a + c = b + c แล้ว a = b
ทฤษฎีบทที่ 2 ให้ a, b และ c เป็นจำนวนจริง ซึ่ง c ¹ 0
ถ้า ac = bc แล้ว a = b
ทฤษฎีบทที่ 3 ถ้า a เป็นจำนวนจริงใด ๆ
a x 0 = 0 x a = 0
ทฤษฎีบทที่ 4 ให้ a และ b เป็นจำนวนจริงใด ๆ
ถ้า ab = 0 แล้ว a = 0 หรือ b = 0
ทฤษฎีบทที่ 5 ให้ a, b, c และ d เป็นจำนวนจริง โดยที่ b ¹ 0, d ¹ 0
จะได้ว่า ก็ต่อเมื่อ ad = bc
ทฤษฎีบทที่ 6 ให้ a ¹ 0, b ¹ 0 เป็นจำนวนจริง
ถ้า ab = 1 แล้ว a = b-1 หรือ b = a-1
ทฤษฎีบทที่ 7 ให้ a, b เป็นจำนวนจริงโดยที่ a ¹ 0, b ¹ 0
จะได้ว่า
ทฤษฎีบทที่ 8 ให้ a, b, c และ d เป็นจำนวนจริงที่ c ¹ 0, d ¹ 0
จะได้ว่า
ทฤษฎีบทที่ 9 ให้ a, b, c และ d เป็นจำนวนจริงที่ c ¹ 0, d ¹ 0
จะได้
ที่มา www.mwk.ac.th/.../ระบบจำนวนจริง/โครงสร้างระบบจำนวนจริง.doc
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น